นิ้วกลม

นิ้วกลม นักเขียนชื่อดัง ที่จะบอกมุมมองโลกของคุณในอีกรูปแบบหนึ่ง

นิ้วกลม

Posted On :

นิ้วกลม กล่าวไว้ว่า แล้ววันหนึ่ง คุณค่าในชีวิตก็เปลี่ยนไป ฝนเทหนัก, มนุษย์จำนวนหนึ่งถูกขังไว้ในตึกแถวสองคูหา หลังกิจกรรมเปิดเผยเรื่องราวในจิตใจ ได้คุยกับน้องชายที่ผมชื่นชมในผลงาน เก่ง สำเร็จ เติบโตเร็ว แถมยังอัธยาศัยดี เขาเล่าให้ฟังถึงความสับสน และโจทย์ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงในวัยสามสิบต้น หากเทียบเพื่อนๆ แล้ว วัย 20-30 ของเขาก็ไม่เป็นรองใคร ครั้นมาถึงสามสิบต้น ออฟฟิศใหญ่ขึ้น คุณพ่อป่วยไข้ ภารกิจในชีวิตล้นมือ ทำอย่างไรจึงดูแลทุกสิ่งอย่างได้ดีแบบเดิม ทั้งตัวเอง คนรอบข้าง งาน และการเติบโต
ผมนั่งฟังในแสงสลัว ชอบความจริงใจที่เขาเล่าสู่กันฟัง เมื่อเขาถามถึงชีวิตผมช่วงสามสิบต้น ผมก็แบ่งปันอย่างที่มันเป็น คุยกับคนมีความคิดความอ่านขนาดนี้มิบังอาจสอนหรือชี้แนะใดๆ อันที่จริงก็พยายามรับฟัง และชวนคุยให้คลี่คลายด้วยตัวเองทุกราย เพราะทุกคนล้วนมี ‘ปัญญาภายใน’ ของตนเอง Naturals8 เล่าเรื่อง
ระหว่างเล่าให้น้องชายฟัง บางประโยคปรากฏขึ้นในแบบที่ผมก็ไม่เคยครุ่นคิดกับตัวเองมาก่อน ผมบอกเขาว่า “วัยยี่สิบกว่าเราอาจแสวงหาความสำเร็จเนอะ แต่พอมาถึงจุดหนึ่งอาจพบว่าชนเพดาน คือไม่รู้จะไปยังไงต่อหรือตกลงแล้วฉันอยากไปต่อจริงไหม ในช่วงนั้นเองที่ชีวิตจะเริ่มสะกิดเราว่า ช้าก่อน! ชีวิตมีเรื่องอื่นอีก นอกจากการงานที่คุณคลั่งไคล้มันนักหนา”
จังหวะนั้นวัดใจ ว่าเราจะปล่อยมือจากงานได้บ้างไหม หรือยึดกุมมันไว้เป็นสรณะของชีวิต เพราะหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งนิยามคุณค่าตัวเองด้วยงานที่ทำ เมื่อทำได้ดีก็รู้สึกดี ในห้วงนั้น ‘อย่างอื่น’ ไม่เรียกร้องจากเรานัก
มาถึงอีกวัยหนึ่ง เราจะพบว่าชีวิตไม่ได้เป็นเรื่องของเราคนเดียว มันเชื่อมโยงกับคนอื่น และชีวิตที่ดีนั้นจำเป็นต้องมีคนผสมอยู่ในนั้นจำนวนหนึ่ง ส่วนความเก่งความสำเร็จมีแค่พอประมาณให้เรามีชีวิตรอดก็พอแล้ว สิ่งเหล่านี้ผูกโยงกับความรู้สึกมั่นคงในตัวเอง ต่อให้เก่งแค่ไหน ถ้าเราไม่มีคนที่ปลอดภัย รักและห่วงเรา ย่อมรู้สึกโดดเดี่ยว ความรู้สึกโดดเดี่ยวทำให้เราไขว่คว้ามากขึ้น อยากเก่งขึ้น สำเร็จมากขึ้น สวยขึ้น หล่อขึ้น เพราะนั่นคือหนทางดึงดูดผู้คนให้เข้าหาเรา ให้เราถูกรัก และได้รับการยอมรับ
เมื่อลองปล่อยมือจากการนิยามคุณค่าตัวเองไว้ด้วยงาน เราจะพบคุณค่าอื่นในชีวิต เราจะพบเพื่อนที่จริงใจ ไม่ได้ถูกดึงดูดเข้าหากันด้วยประโยชน์โภชผล เราจะพบว่าความรักจากคนธรรมดาๆ ใกล้ตัวนั้นงดงามและลึกซึ้ง
แง่หนึ่ง, เราเบาขึ้น เมื่อไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองเรียกร้องการยอมรับ ในอีกแง่, เราเป็นอิสระจากคุณค่าที่เคยนำมาวางทาบชี้วัดตัวเองว่าเราดีพอหรือยัง พ่อแม่ภูมิใจในตัวฉันหรือยังนะ เพื่อนอยากคบเราเป็นเพื่อนมั้ย เราเป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูลไหมนะ เราชนะพี่น้องและผองเพื่อนแล้วไหม
วัย 30-40 สำหรับผมคือวัยแห่งการฝึกปล่อย
ปล่อยจากคุณค่าเดิม เปิดพื้นที่ว่างๆ โล่งๆ เพื่อทำความรู้จักคุณค่าใหม่ ซึ่งเงียบกว่า แผ่วเบา ไม่กว้างขวางแต่ใกล้ชิด เกิดขึ้นโดยไม่ต้องฉายไฟส่อง ทว่าเป็นความรู้สึกดีเงียบๆ ที่เกิดขึ้นในใจ
ในเวลาเดียวกันนั้น เราวกกลับเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของตัวเองมากขึ้น วัย 20-30 เราต้องการขยายออกไปให้กว้างที่สุด ยึดครองพื้นที่โลกและในใจคน แต่เมื่อมาถึง 40 ปี เราวกกลับไปทำความเข้าใจตัวเองว่า สุข-ทุกข์นั้นสำคัญที่เข้าใจตัวเอง เมื่อเข้าใจ เป็นตัวเองอย่างแท้จริงและจริงใจ ไม่หุ้มห่อไว้ด้วยเปลือกสวยงาม โง่ได้ ห่วยได้ ผิดได้ เละๆ เทะๆ จังหวะนั้นเองที่เราจะพบเพื่อนที่โอบรับความปุๆ ปะๆ ของเรา นิ้วกลม เจ้าของหนังสือชื่อดังหลายเล่ม
มิตรภาพเช่นนี้อธิบายยาก
มันเหมือนตีปิงปองจากหัวใจที่รักสองดวง มีความปรารถนาอยากให้มากกว่าอยากได้ แล้วสองหัวใจก็เคลื่อนเข้าใกล้กัน ใช่, มีคนจำนวนหนึ่งในชีวิตที่สอนให้เรารู้สึกสิ่งที่หน้าตาคล้ายความรัก (เราอาจไม่แน่ใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราก็เรียกมันว่าความรัก และรู้ดีว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็สัมผัสถึงสิ่งนี้)
วัย 40 ปีเป็นช่วงเวลาที่ผมพบเจอสิ่งเหล่านี้จากผู้คน เพื่อน พี่ น้อง ผู้อาวุโส เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ปล่อยมือจากตัวเองคนเดิม โยนไปอยู่ในที่ว่าง เพียงเป็นตัวเอง ซื่อสัตย์และจริงใจกับสิ่งที่เป็น–เปลือกเรืองรองในวัย 20-30 หล่นร่วงไปตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน
ผมบอกกับน้องชายสามสิบต้นไปว่า “วันหนึ่งเราก็เข้าใจว่า ลำพังตัวเองใช้ได้ประมาณหนึ่งก็พอ สิ่งที่ทำให้เรามั่นคงมันคือความสัมพันธ์”
ซึ่งจะสะสมความสัมพันธ์ที่ดีได้ บางครั้งเราอาจต้องคิดถึงความสำเร็จ หรือเป้าหมายของตัวเองน้อยลง
ฝนซาพอดี, ผมเดินออกมาโดยไม่มีร่ม เอาเป้บังฝนบนหัว ชายร่างท้วมเนื้อแน่นตะโกนเรียกพร้อมภรรยาของเขา “มึงมานี่ มาอยู่ใต้ร่มเดียวกับกู” มืออุ่นโอบไหล่ดึงไปแนบตัว รู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจ หากเดินไกลอีกนิดคิดว่าน่าจะลงเอยด้วยการแลกลิ้นกัน (ใจเย็น!)
ตุลเป็นคนหนึ่งที่เป็นความรักหน้าตาประหลาด แต่ผมรู้สึกครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ในตัวเพื่อนคนนี้ไม่มีปรารถนาใดเลย นอกจากให้สิ่งนู้นสิ่งนี้ตลอดเวลา เลี้ยงข้าว คำแนะนำ คำสอน คำด่า รวมถึงความอุ่นใจใต้ร่มในคืนฝนตก
แน่นอนว่ามันจะบอกผมว่า “มึงคิดไปเอง” ก็เรื่องของมัน
ผมเล่าเรื่องมาถึงตรงนี้เพื่อจะบอกว่า คุณค่าในวัย 20 กับ 40 ปีนั้นแตกต่างกัน นำมาซึ่งการเลือก การตัดสินใจ การใช้ชีวิตที่ต่างจากเดิม
เมื่อเราไม่ได้อยากเป็นคนที่คนอื่นยอมรับ และเรารู้จักยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น รวมถึงยอมรับในสิ่งที่คนอื่นเป็น เราจะเจอคุณค่าใหม่ที่อาศัยความพยายามน้อยลง มันเพียงเกิดขึ้นและเป็นไป, และเราก็ไม่ได้ต้องการการยอมรับประทับตราจากผู้คนมากมายขนาดนั้น
“ฝนหนักเลย เหมือนตั้งใจขังพวกเราให้อยู่คุยกันต่อ” ผมเปรยขึ้นมาในคืนวันนั้น “ตั้งใจห่าอะไรล่ะ ฝนแม่งก็แค่ตกของมัน มึงตีความเองทั้งนั้นแหละ”
อย่าเชื่อผมมากครับ ผมชอบคิดอะไรเจื้อยแจ้วไปเรื่อย

บทความดีๆแบบนี้ มีอีกที่เว็บไซต์ WBET69

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *