ทำไมนะ? ยิ่งโตขึ้น เพื่อนยิ่งน้อยลง

ทำไมนะ? ยิ่งโตขึ้น เพื่อนยิ่งน้อยลง มิตรภาพ กับช่วงวัยที่โตขึ้น

ทำไมนะ? ยิ่งโตขึ้น เพื่อนยิ่งน้อยลง

Posted On :

ทำไมนะ? ยิ่งโตขึ้น เพื่อนยิ่งน้อยลง ในวันที่คุณเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำไมนะ? คุณเคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่า “เพื่อน” ที่เคยอยู่รายล้อมรอบตัวคุณนั้นค่อย ๆ หายไปทีละคนสองคน ทั้งเพื่อนที่คุณรู้สึกสนิทสนมด้วยมาก ๆ และเพื่อนที่อาจแค่เคยทำกิจกรรมบางอย่างด้วยกันมา ติดต่อกันในช่วงเวลาหนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ห่างกันไป เมื่อลองมานึก ๆ ดู คุณจะเห็นว่ามีใครหลายคนที่หายไปจากชีวิตของคุณโดยที่คุณก็นึกไม่ออกว่าตั้งแต่เมื่อไร และเพราะอะไร ระหว่างคุณกับเขาถึงไม่สานสัมพันธ์กันต่อ มารู้ตัวอีกทีก็คือวันที่คุณรู้ตัวเองว่าเพื่อนที่คุณยังคบหาและติดต่ออยู่ด้วยนั้นเหลือแค่ไม่กี่คน ทั้งที่เมื่อก่อนเพื่อนล้อมหน้าล้อมหลัง

จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก การที่เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเพื่อนเราจะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงไป และก็ไม่ใช่คุณเพียงคนเดียวด้วยที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ “เหลือเพื่อนน้อยลง” ในต่างประเทศ มีงานวิจัยมากมายที่พยายามศึกษาถึงเรื่องที่จำนวนเพื่อนของเราแปรผกผันกับช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นของเรา อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าหลาย ๆ คนก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับการที่เพื่อนหลายคนหายไปจากชีวิตจนเหลืออยู่เพียงหยิบมือ ทั้งที่ในสมัยเด็กเราเป็นคนที่หวาดกลัวการไม่มีเพื่อน ไม่ชอบการถูกเพื่อนแบน เพื่อนไม่ยอมรับ หรือเคยร้องไห้เพราะทะเลาะกับเพื่อน รู้จักกับ อัลปากา ทว่าทุกวันนี้เรากลับแคร์เรื่องนั้นน้อยลงทุกที เราไม่เป็นอะไรเลยกับการเหลือเพื่อนน้อยลง นอกจากสงสัยเท่านั้นว่า “ทำไม”

เราเห็นคุณค่าของคุณภาพมากกว่าปริมาณ

“เพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา” คำสอนโบร่ำโบราณเรื่องเพื่อนที่เราอาจได้ยินกันมาตั้งแต่เด็ก ทว่ากลับเพิ่งเข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้งเอาตอนที่โตเป็นผู้ใหญ่นี่แหละว่าคุณภาพมันสำคัญกว่าปริมาณยังไง เมื่อก่อนเราอาจจะภูมิใจที่ตัวเองมีเพื่อนเยอะ รู้จักคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่พอโตมาทัศนคติต่าง ๆ เราเริ่มเปลี่ยน ใครหลายคนเริ่มเข้าใจว่าตัวเองจะมีเพื่อนแท้เหลือแค่เพียงคนเดียวก็ได้ แต่คนคนนั้นต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจที่มีเขาเป็นเพื่อน ความรู้สึกของเราจะบอกกับเราเองว่าเพื่อนคนไหนที่เราจะไม่มีวันยอมเสียเขาไป ซึ่งมันจะเหลือไม่กี่คนแล้วล่ะที่เราสนิทใจจะเรียกว่า “เพื่อน” และเราจะปล่อยให้คนอื่น ๆ ค่อย ๆ หายไปจากชีวิตโดยไม่รั้งอะไรทั้งสิ้น

ตอนเด็ก ๆ หรือตอนวัยรุ่น เรากำลังเข้าสังคม เราต้องการการยอมรับ เราจึงพยายามสะสมเพื่อน ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร ก็จะมีเพื่อนอยู่รายล้อมรอบตัว รู้จักใครก็เรียกเพื่อนได้หมด เพื่อนแก๊งเดียวกันยังคุยทับกันเลยว่านอกเหนือจากที่คบกันอยู่ในแก๊งนี้ ใครมีเพื่อนแก๊งอื่นอีกบ้าง เยอะแค่ไหน เหมือนว่าเราพยายามทำความรู้จักคนมากมายเพื่อที่จะเรียกว่าพวกเขาว่า “เพื่อน” ปริมาณของเพื่อนทำให้เรารู้สึกอุ่นใจ ยิ่งมีเพื่อนเยอะ ยิ่งแปลว่าเรามีคนที่เราหวังพึ่งได้มาก แต่เรามักจะมารู้เอาตอนโตว่าคิดผิดถนัด เพราะเพื่อนเพียงคนเดียวที่รัก หวังดี และต่างก็พึ่งพากันด้วยความสบายใจต่างหากที่เพียงพอจะทำให้เราอุ่นใจได้ สักวันหนึ่ง ความรู้สึกลึก ๆ จะบอกกับเราเอง ว่าเราเป็นเพื่อนกับทุกคนไม่ได้

กระบวนการธรรมชาติคัดสรร

“เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก” อีกคำสอนเรื่องเพื่อนที่ได้ยินมาตั้งแต่สมัยละอ่อน จริง ๆ เราอาจไม่ต้องรอให้ตัวเองเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายเพื่อพิสูจน์ว่าใครเป็นเพื่อนกิน ใครเป็นเพื่อนตายก็ได้นะ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่เขาไม่ใช่เพื่อนของเราจริง ๆ เขาก็จะจากไปโดยธรรมชาติเอง แบบเดียวกันกับคำที่ว่าอะไรที่ไม่ใช่ของเรา ยังไงมันก็ไม่ใช่ของเรา ฝืนแค่ไหนก็ไม่ใช่ของเรา! ในจำนวนคนมากมายที่อยู่รอบตัว เราสามารถที่จะทักทายและพูดคุยเพื่อสร้างมิตรภาพกับใครก็ได้ สักพักจะบอกว่านี่คือเพื่อนมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะรู้ว่าการจะคบใครสักคนเป็นเพื่อนแบบเพื่อนจริง ๆ มันไม่ง่าย เพราะเราทุกคนมีเกณฑ์คัดกรองและคุณสมบัติของเพื่อนตัวจริงกันทั้งนั้น

มันคือกระบวนการ “คัดกรอง” ถึงเราจะเป็นคน friendly แค่ไหน แต่เราไม่สามารถที่จะเข้าได้กับทุกคน หากรู้สึกถึงความไม่เข้ากัน ธรรมชาติจะเว้นระยะห่างในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขาออกไปเรื่อย ๆ โดยอัตโนมัติ ต่างคนต่างไม่มีใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์กันต่อ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อยู่ดี ๆ ก็มีคนหายไปจากชีวิตเราโดยที่เราไม่รู้ว่ามันเริ่มที่ตรงไหน ช่วงเวลาหนึ่งอาจเป็นเพื่อนกันอยู่ดี ๆ แต่หลังจากนั้นสถานะกลับถอยหลังเหลือแค่คนรู้จักหรืออาจจะลืมกันไปเลย ซึ่งกระบวนการนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่าเรื่อง “ศีลเสมอกัน” ไม่ใช่เรื่องคนดีคนไม่ดีด้วย เราแค่ไม่คลิกที่จะเป็นเพื่อนกัน ศีลที่เสมอกันและเคมีที่เข้ากัน มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม

ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง

ช่วงวัยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราเหลือเพื่อนน้อยลง เพราะช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น (ส่วนใหญ่) ชีวิตมันมีอะไรไม่กี่อย่างที่ต้องรับผิดชอบ ไปโรงเรียน เรียนหนังสือ ทำการบ้าน ใช้ชีวิตให้สนุกสนาน เติบโตอย่างสมบูรณ์ แต่พอเราโตขึ้น เราจะค้นพบว่าเรามีบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบมหาศาลถาโถมเข้าหาตัวเรา ตอนเรียนมีเสาร์อาทิตย์ มีปิดเทอม แต่วัยทำงานคือทำงานลากยาว วันหยุดก็มีอย่างอื่นต้องทำ ทั้งงานบ้านหรืองานเสริม หากใครเคยงอแงตอนเด็ก ๆ ว่าพ่อแม่ไม่เคยมีเวลาพาไปเที่ยว ก็จะได้รู้เองในตอนโตนี่แหละว่าการหาเวลาว่างมันไม่ง่าย การลางานเป็นเรื่องวุ่นวาย นั่นทำให้เราขาดการติดต่อกับเพื่อน ต่างคนต่างมีอะไรต้องทำ ทั้งเราและเพื่อนเลยไม่มีใครได้ติดต่อกัน จนห่างกันไป

การนัดเจอเพื่อนแล้วทริปล่มตลอด หากมองผิวเผินอาจเป็นเรื่องตลกในวงเหล้า แต่เบื้องหลังมันมีอะไรมากกว่านั้น บางคนเลือกที่จะเททริปเพื่อนเพราะเหนื่อยจนฝืนสังขารลุกไปตามนัดไม่ไหว นาน ๆ ทีจะมีเวลาก็ขอพักหน่อยเถอะ บางคนพ่อ/แม่ป่วย สามี/ภรรยาป่วย หรือลูกป่วยกะทันหัน บางคนอยู่ในช่วงพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง/ขึ้นเงินเดือน จึงยังไม่อยากลางาน เป็นต้น มันมีเหตุผลที่เราเลือกที่จะปฏิเสธคำชวนหรือเททริปเพื่อนกะทันหัน แต่เราแค่ไม่ได้บอกให้เพื่อนรู้ การที่เราต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง ทำให้เรามีอะไรที่ต้องโฟกัสมากกว่าเพื่อนและความสนุกสนาน เพื่อนสำคัญ แต่เรื่องอื่นอาจสำคัญและเร่งด่วนกว่า ทำให้พื้นที่สบาย ๆ ของการเจอเพื่อนห่างเหินไปเรื่อย ๆ

ความหวือหวาในชีวิตมันลดลง

ด้วยช่วงวัยที่โตขึ้น ทำให้ความหวือหวาในชีวิตเรามันลดลง นอกจากเราจะหมดเวลาไปกับการโฟกัสชีวิตของตัวเองและครอบครัว มัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่กับความรับผิดชอบมากมายในชีวิตจนเราไม่ค่อยจะมีพื้นที่ให้กับเพื่อนซักเท่าไรแล้ว เราอาจจะไม่ได้ต้องการความสนุกสนานหรือความตื่นเต้นแบบสมัยเด็ก ๆ หรือตอนเป็นวัยรุ่นอีกต่อไปแล้วด้วยก็ได้ เราจะให้ความสำคัญกับความหวือหวาน้อยลง แต่มองหาความเรียบง่าย แทงบอล123 ความธรรมดา และความสุขสงบมากกว่า กิจกรรมที่เราจะนัดเจอกับเพื่อนยิ่งจำกัดลงทุกที ต่างคนต่างมีเงื่อนไขว่าอันนั้นไม่ได้ อันนี้ไม่เอา ดังนั้น การจะได้ทำอะไรที่มันสนุกสนานกับเพื่อนจะยิ่งน้อยลงตามไปด้วย เป็นเหตุให้เราไม่ค่อยได้เจอกันบ่อย ๆ อย่างเมื่อวันวาน

เราเริ่มไม่อดทนในสิ่งที่ไม่จำเป็น

ในช่วงหนึ่งเราอาจเคยเป็นเพื่อนกับคนคนหนึ่ง แต่ทุกวันนี้เราไม่ได้รู้สึกว่าเขาคนนั้นเป็นเพื่อนของเราอีกต่อไปแล้ว นอกจากกระบวนการธรรมชาติคัดสรร บางทีก็อาจเป็นตัวเราเองนี่แหละที่ค่อย ๆ คัดและตัดเพื่อนบางคนออกไปจากชีวิต เพื่อนที่เรารู้สึกว่าไม่อาจจะทนคบกันต่อไปได้อีกแล้ว เอือมเต็มทน สิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ มิตรภาพมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้คงอยู่ตลอดไป สักวันมันก็ย่อมจืดจางลงได้เป็นธรรมดา คนสองคนที่เป็น “เพื่อน” สามารถเกิดปัญหาที่ไม่เข้าใจกันได้ ตกลงกันไม่ได้ คุยกันไม่รู้เรื่อง (หรืออาจไม่คุย) และสานสัมพันธ์กันต่อไม่ได้ ท้ายที่สุดก็อาจลงเอยด้วยการแยกทางกันเดิน เลิกคบกันไปก็ได้เหมือนกัน โดยที่เรารู้สึกเหนื่อยใจที่จะต้องไปต่อกับเพื่อนคนนี้

เราแข็งแกร่งพอที่จะอยู่คนเดียวและรักสันโดษ

เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนบางคนยังคงติดต่ออยู่กับเพื่อนฝูงก็เพราะรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเป็นหลัก ทั้งที่ในความเป็นจริง เพื่อนที่ดีมีคุณค่ามากกว่านั้น แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ตราบใดที่ยังคบกันได้มันก็ไม่ใช่ปัญหา เพื่อนคือคนที่สามารถเยียวยาความเหงาและบรรเทาความโดดเดี่ยวได้ในทุกสถานการณ์ นั่นเป็นเหตุให้ในช่วงวัยหนึ่งที่เราอาจจะรู้สึกแบบนี้ได้บ่อยมาก เมื่อเพื่อนให้ความสำคัญกับเราไม่มากพอ บางทีอาจมีอาการหวงเพื่อนหรือน้อยอกน้อยใจเพื่อนด้วยซ้ำเวลาที่เห็นเพื่อนสนิทของเราไปทำความรู้จักกับคนอื่น และเห็นว่าพวกเขาดูเข้ากันได้ดี เรามีความกลัวที่จะเสียเพื่อนคนนี้ไป อาจดูเหมือนว่าเราพึ่งพิงและพึ่งพาเพื่อนมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อโตขึ้นอะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป บางคนไม่ค่อยติดต่อกับเพื่อนฝูง และเลือกที่จะปฏิเสธการไปเจอกลุ่มเพื่อน เพียงเพราะรำคาญความวุ่นวายก็มี คนกลุ่มนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับตัวเพื่อน เพื่อนยังมีความสำคัญ แต่แค่รู้สึกไม่ชอบพิธีรีตองและสถานการณ์ในการนัดพบกันมากกว่า ส่วนใหญ่คนเหล่านี้มักอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว ชื่นชอบการอยู่คนเดียว ชาร์จพลังและฮีลใจตัวเองได้ ไม่ชอบความวุ่นวาย สร้างและมีความสุขได้ด้วยตัวเอง จึงแยกตัวออกไปอยู่อย่างสันโดษ ไม่ค่อยที่จะติดต่อกลุ่มเพื่อน และใช้เวลาในการไตร่ตรองและพัฒนาตัวเอง ดังนั้น จึงเป็นตัวเราเองที่เฟดออกจากเพื่อน เพราะการพบเจอเพื่อนไม่ใช่เรื่องสำคัญ แค่ยังติดต่อพูดคุยกันเท่าที่สถานการณ์จะอำนวยก็พอแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *